Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/15856
Title: | การเปรียบเทียบพัฒนาการของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและพฤติกรรมการแสดงออก ความพึงพอใจต่อการเรียนและเจตคติต่อการร้องเพลงระหว่างกลุ่มนักเรียนที่มีภาวะผู้นำต่างกันโดยใช้วิธีการสอนด้วยการนำตนเองกับการสอนแบบปกติ : รายงานการวิจัย |
Other Titles: | A comparision of growth in learning achievement and expressive behavior, learning satisfaction, and singing attitude between group of students with different leadership, using self-directed and traditional teaching methods |
Authors: | ทิพพดี อ่องแสงคุณ |
Email: | ไม่มีข้อมูล |
Other author: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ภาควิชาประถมศึกษา |
Subjects: | ภาวะผู้นำ เจตคติ การร้องเพลง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง |
Issue Date: | 2554 |
Publisher: | คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract: | การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบพัฒนาการด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและพฤติกรรมการ แสดงออก ก) ระหว่างกลุ่มนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการสอนโดยการนำตนเองและวิธีการสอนแบบปกติ และ ข) ระหว่าง กลุ่มนักเรียนที่มีภาวะผู้นำต่างกัน และ 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการเรียนและเจตคติต่อการร้องเพลง ก) ระหว่างกลุ่มนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการสอนโดยการนำตนเองและวิธีการสอนแบบปกติ และ ข) ระหว่างกลุ่มนักเรียนที่ มีภาวะผู้นำต่างกัน การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบแผนการทดลองระยะยาว วัดก่อนและหลัง และมีกลุ่มควบคุม(longitudinal pretest – posttest, control group design) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชา Singlish ในภาคปลาย ปีการศึกษา 2549 จำนวน 26 คน ซึ่งจัดเข้ากลุ่มทดลองโดยการสุ่มเป็น 2 กลุ่ม (กลุ่มที่สอน โดยครู และกลุ่มที่สอนโดยการนำตนเอง) แต่ละกลุ่มแบ่งเป็นกลุ่มย่อย 2 กลุ่ม (กลุ่มที่มีผู้นำดี และกลุ่มที่มีผู้นำปาน กลาง) รวม 4 กลุ่ม เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการสอนแบบปกติและแผนการสอนโดยวิธีนำตนเอง แบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียน แบบวัดเจตคติต่อการร้องเพลง แบบสังเกตพฤติกรรมการ แสดงออกด้านการร้องเพลง ด้านท่าทาง ด้านกระบวนการทำงานกลุ่ม และด้านความคิดริเริ่ม มีการรวบรวมข้อมูลโดย การวัดก่อนเรียน การวัดระหว่างเรียน 7 ครั้ง และการวัดหลังเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติบรรยาย การวิเคราะห์ องค์ประกอบ การวิเคราะห์ความแปรปรวน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยที่สำคัญสรุปได้ดังนี้ 1. การเปรียบเทียบพัฒนาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และพฤติกรรมการแสดงออก ระหว่างกลุ่มนักเรียนที่ เรียนด้วยวิธีสอนโดยการนำตนเองและวิธีการสอนแบบปกติ พบว่ามีพัฒนาการเป็นแบบเส้นตรง และตัวแปร พฤติกรรมการแสดงออก 3 ตัวแปร จากการวัดระหว่างเรียนครั้งที่ 2 (bh2) 3 (bh3) และ 7 (bh7) มีค่าเฉลี่ยแตกต่าง กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2. การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยพัฒนาการด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และพฤติกรรมการแสดงออกระหว่าง กลุ่มนักเรียนที่มีภาวะผู้นำต่างกัน พบว่ามีพัฒนาการเป็นแบบเส้นตรง และตัวแปรพฤติกรรมการแสดงออกจากการวัด หลังการเรียน 3 ตัวแปร จากการวัดระหว่างเรียน ครั้งที่ 2 (bh2) 4 (bh4) และ 7 (bh7) มีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ 3. การศึกษาเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการเรียน และเจตคติต่อการร้องเพลงระหว่างกลุ่มนักเรียนที่เรียน ด้วยวิธีการสอนโดยการนำตนเองและวิธีการสอนแบบปกติ พบว่าตัวแปรความพึงพอใจต่อการเรียน เจตคติต่อการร้อง เพลง รวมทั้งหมด 14 ตัวแปร มีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. การเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการเรียน และเจตคติต่อการร้องเพลงระหว่างกลุ่มนักเรียนที่มีภาวะ ผู้นำต่างกัน และที่เรียนด้วยวิธีสอนแตกต่างกัน พบว่ามีอิทธิพลหลักและอิทธิพลปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิธีสอนกับภาวะ ผู้นำ อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ |
Other Abstract: | The objectives of this research were: 1) to compare the growth in achievement and expressive behavior a) between groups of students using self-directed teaching method and conventional teaching method and b) between groups of students having different leadership; 2) to compare the learning satisfaction and singing attitude a) between groups of students using self-directed teaching method and conventional teaching method and b) between groups of students having different leadership. The research method was a longitudinal, experimental pre-test – post-test, control group design. The research sample consisted of 26 Grade 4 students registering in the ‘Singlish’ course in the second semester, academic year 2006. They were randomly arranged into 2 groups (group taught by conventional teacher and group taught by srlf-directed method), each of which were divided into two small groups (groups with medium and high leadership), resulting in 4 groups. The research instruments were two lesson plans using conventional and self-directed teaching methods, an achievement test, 3 scales measuring learning satisfaction, singing attitude and expressive behavior in singing, choreography, group working process and creativity. Data were collected using pre-measures, 7 mid-measures, and post-measure, and analyzed using descriptive statistics, factor analysis, analysis of variance and content analysis. The major findings were as follows: 1. The comparison of the growth in achievement and expressive behavior between groups of students using self-directed teaching method and conventional teaching method revealed linear growth with significant difference in the means of 3 expressive behavior variables measured at the 2nd (bh2) 3rd (bh3) และ 7th (bh7) times. 2. The comparison of the growth in achievement and expressive behavior between groups of students having different leaderships revealed linear growth with significant difference in the means of 3 expressive behavior variables measured at the 2nd (bh2) 4rd (bh4) และ 7th (bh7) times. 3. The comparison of learning satisfaction and singing attitude between groups of students using self-directed teaching method and conventional teaching method revealed the significant differences in the means of 14 learning satisfaction and singing attitude variables. 4. The comparison of learning satisfaction and singing attitude between groups of students having different leaderships and different teaching methods showed no significant main effects and interaction effects between leadership and teaching method. |
URI: | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/15856 |
Type: | Technical Report |
Appears in Collections: | Edu - Research Reports |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
thippadee.pdf | 3.49 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.