Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/77670
Title: ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการโฆษณาในประเทศไทย : กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
Authors: พารณ ธรรมาพิทักษ์กุล
Advisors: วิโรจน์ วาทินพงศ์พันธ์
Other author: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์
Advisor's Email: wirote.w@chula.ac.th
Subjects: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
โฆษณา -- อาหาร -- กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ
Issue Date: 2563
Publisher: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract: ปัจจุบันการเติบโตของธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จากความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีขึ้น รูปร่างที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับผู้ประกอบการที่เห็นถึงความต้องการเหล่านี้ รวมถึงผู้ประกอบการจากธุรกิจอื่น ๆ ที่เห็นการเติบโตของความต้องการของตลาดธุรกิจอาหารเสริม นั่นเป็นที่มาที่ทำให้ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกิดขึ้นมากมายในท้องตลาด เมื่อสินค้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นมาในท้องตลาด จึงเกิดการแข่งขันกันในการขายสินค้าหรือแข่งขันกันในด้านการแย่งผู้บริโภคที่มีอยู่จำกัดเมี่อเปรียบเทียบกับจำนวนของผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์สินค้าในท้องตลาด โดยการแข่งขันกันของผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารเสริมคือการเข้าถึงผู้บริโภคหรือให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าของตนเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งวิธีการที่จะเข้าถึงผู้บริโภคได้นั้น หนึ่งในเครื่องมือที่สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร หรือเนื้อหาของสินค้าไปถึงผู้บริโภคได้คือการโฆษณา ในปัจจุบันนอกจากการโฆษณาผ่านป้ายโฆษณา ทีวี หรือวิทยุกระจายเสียงแล้วนั้น การเกิดขึ้นของสื่อออนไลน์ที่มีจำนวนผู้ใช้บริการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์นั้นได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และเป็นเครื่องมือที่สามารถที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภคที่ต้องการได้ ซึ่งเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการสินค้าจำพวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในการใช้สื่อเหล่านี้ ในการโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้อื่นใช้สินค้า ซึ่งข้อดีที่เกิดขึ้นคือผู้ประกอบการรายย่อยหรือรายเล็กที่ไม่ได้มีต้นทุนจำนวนมาก สามารถที่จะสร้างธุรกิจของตนเองได้ โดยผลิตสินค้าแล้วใช้ช่องทางออนไลน์ในการโฆษณาสินค้าของตนเองไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งต้นทุนในการโฆษณานั้นต่ำกว่าการโฆษณาผ่านช่องทางทีวี วิทยุ หรือแผ่นป้ายโฆษณาในสมัยก่อน แต่อย่างไรก็ตามในข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียเกิดขึ้น โดยผู้ประกอบการบางรายมีการใช้คำโฆษณาชวนเชื่อ ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง จนทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย จากโฆษณาชวนเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์เหล่านี้ เนื่องจากมีต้นทุนการโฆษณาที่ต่ำ และสามารถที่จะนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่การโฆษณาต่าง ๆ นั้นต้องผ่านบริษัทโฆษณาจำพวกทีวี วิทยุ หรือป้ายโฆษณา ซึ่งต้องมีการตรวจสอบในส่วนของเนื้อหาสำหรับการโฆษณาโดยละเอียด แต่ปัจจุบันนั้นการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์นั้นไม่ได้มีขั้นตอนในส่วนนี้ ทำให้เกิดการโฆษณาเพื่อจูงใจลูกค้าหรือผู้บริโภคด้วยสรรพคุณสินค้าที่เกินความจริงเกิดขึ้น แม้ว่ากฎหมายจะมีมาตรการในการตรวจสอบและลงโทษผู้ที่กระทำความผิดแต่เหมือนว่ากฎหมายและบทลงโทษที่มีในปัจจุบันจะไม่สามารถที่จะควบคุมหรือป้องกันการโฆษณาที่เกินความจริงได้ โดยในกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดนั้นมีพิธีกรท่านหนึ่งที่ทำการโฆษณาสินค้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของตนเองผ่านช่องทางออนไลน์เฟสบุ๊ค โดยมีการรีวิวและอวดอ้างสรรพคุณที่เกินความจริงของสินค้า ต่อมาได้ถูกแจ้งข้อหาทางกฎหมายในการกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งจากการสืบประวัติพบว่าพิธีกรท่านนี้ได้ถูกดำเนินการแจ้งข้อหาเกี่ยวกับการโฆษณาสินค้าเกินความจริงซ้ำเป็นคดีที่ 8 แล้ว เป็นการกระทำความผิดเดิมซ้ำ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นว่ากฎหมายในการควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการให้ผู้กระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าที่จะกระทำความผิดหรือกระทำความผิดเดิมซ้ำ
Description: เอกัตศึกษา (ศศ.ม)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2563
Degree Name: ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level: ปริญญาโท
Degree Discipline: กฎหมายเศรษฐกิจ
URI: http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/77670
URI: http://doi.org/10.58837/CHULA.IS.2020.143
metadata.dc.identifier.DOI: 10.58837/CHULA.IS.2020.143
Type: Independent Study
Appears in Collections:Law - Independent Studies

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
6280062934.pdf1.8 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.